ธ.ก.ส. เร่งโอนเงินประกันรายได้-เงินค่าบริหารจัดการ ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว



ธ.ก.ส. เร่งโอนเงินประกันรายได้-เงินค่าบริหารจัดการ ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในกิจกรรมส่งมอบเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และมาตรการคู่ขนาน ปีการผลิต 2564/65 โดยมีนายทองลักษณ์ หาญศึก กรรมการ ธ.ก.ส. นายสุรชัย รัศมี นายกษาปณ์ เงินรวง และนายสมชาย คมพงษ์ปภา รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนจากส่วนงานต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรม ในพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีนำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 และคณะกรรมการ ธ.ก.ส. นำโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 64 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร วงเงินรวมกว่า 160,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.69 ล้านครัวเรือน ประกอบด้วย

1. โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 รอบที่ 1 (เพิ่มเติม) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้ได้รับผลตอบแทนจากการผลิตที่เหมาะสม เป็นการป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน และช่วยแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และอุทกภัย โดยที่กลไกตลาดยังคงทำงานเป็นปกติ จำนวน 74,569 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.69 ล้านครัวเรือน โดย ธ.ก.ส. ได้โอนเงินเข้าบัญชีของเกษตรกรโดยตรงตามข้อมูลที่ได้รับจากกรมส่งเสริมการเกษตร และผ่านการประชุมของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงฯ งวดที่ 3-7 ในช่วงระหว่างวันที่ 9–13 ธ.ค. 64 รวมทั้งสิ้น 3.58 ล้านครัวเรือน เป็นเงินจำนวนกว่า 64,000 ล้านบาท ในส่วนพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด มีการโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้เกษตรกร จำนวน 219,718 ครัวเรือน เป็นเงิน 4,213 ล้านบาท

2. โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 สำหรับบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี เพื่อที่จะมีโอกาสขายข้าวในราคาที่สูงและมีรายได้มากขึ้น โดยรัฐจ่ายเงินสนับสนุนให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 20,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินงบประมาณจำนวน 53,871.84 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกรจำนวน 4.69 ล้านครัวเรือน โดยจะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรในวันที่ 13–17 ธ.ค. 64 ทั้งนี้ เฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ จะเริ่มโอนวันที่ 14-17 ธ.ค. 64 โดยมีเกษตรกรได้รับเงินจำนวน 4,452,805 ครัวเรือน เป็นเงิน 51,988 ล้านบาท ในส่วนพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด มีการโอนเงินค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้เกษตรกร จำนวน 224,921 ครัวเรือน วงเงิน 2,684 ล้านบาท

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง และจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ

3. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 ซึ่งเป็นมาตรการคู่ขนานในการสนับสนุนให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว ไม่ต้องเร่งขายข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากและราคาตกต่ำ วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยไม่คิดดอกเบี้ยกับเกษตรกร เป็นระยะเวลา 5 เดือน ตั้งเป้าดูดซับปริมาณข้าวเปลือก 2 ล้านตัน ซึ่งโครงการนี้รัฐบาลได้สนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก 1,500 บาทต่อตัน โดยกรณีเกษตรกรเก็บเข้าเองจะได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน ระยะเวลาจัดทำสัญญาตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 28 ก.พ. 65 กรณีภาคใต้ ตั้งแต่เดือน มี.ค. ถึง 31 ก.ค. 65

4. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65 สำหรับสหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชนที่ประกอบธุรกิจรวบรวมข้าวจากเกษตรกรสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพ เช่น การลดความชื้น การแปรรูปผลผลิต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม วงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ซึ่งคิดจากสถาบันฯ เพียงร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลรับภาระแทน กำหนดชำระคืนไม่เกิน 12 เดือน ระยะเวลาจ่ายสินเชื่อตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ก.ย. 65